วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยวพระนครศรีอยุธยา

วัดราชบูรณะ

อยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ตรงข้ามวัดมหาธาตุ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.1967 ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาซึ่งชนช้างกันจนถึงแก่ พิราลัยและโปรดเกล้าฯให้ก่อเจดีย์ 2 องค์บริเวณนั้น วัดนี้และวัดมหาธาตุเมื่อคราวเสียกรุงถูกไฟไหม้เสียหายมาก ซากที่เหลืออยู่แสดงว่าวิหารและส่วนต่างๆ ของวัดนี้ใหญ่โตมาก วิหารหลวงมีขนาดยาว 63 เมตร กว้าง 20 เมตร ด้านหน้ามีบันไดขึ้น 3 ทาง ที่ผนังวิหารเจาะเป็นบานหน้าต่าง ปัจจุบันยังปรากฏซากของเสาพระวิหารและฐานชุกชีพระประธานเหลืออยู่ พระปรางค์ประธาน เป็นศิลปะอยุธยาสมัยแรกซึ่งนิยมสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมขอมที่ให้พระปรางค์ เป็นประธานของวัด ช่องคูหาของพระปรางค์มีพระพุทธรูปยืนปูนปั้นประดิษฐานช่องละ 1 องค์ องค์ปรางค์ประดับด้วยปูนปั้นรูปครุฑ ยักษ์ เทวดา นาค พระปรางค์องค์นี้มีลวดลายสวยงามมาก ภายในกรุปรางค์มีห้องกรุ 2 ชั้น สามารถลงไปชมได้ ชั้นบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเลือนลาง ชั้นล่างซึ่งเคยเป็นที่เก็บเครื่องทอง มีภาพจิตรกรรมเขียนด้วยสีแดงชาดปิดทองเป็นรูปพระพุทธรูปปางลีลาและปางสมาธิ รวมทั้งรูปเทวดาและรูปดอกไม้ เมื่อพ.ศ.2500 คนร้ายได้ลักลอบขุดโบราณวัตถุที่ฝังไว้ในกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ โดยขุดเจาะจากพื้นคูหาเรือนธาตุลงไปพบห้องที่ฝังโบราณวัตถุ 2 ห้อง ต่อมาทางราชการติดตามจับคนร้ายและยึดโบราณวัตถุได้เพียงบางส่วน โบราณวัตถุในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะทำด้วยทองคำ สำริด หิน ดินเผาและอัญมณี เมื่อกรมศิลปากรขุดแต่งพระปรางค์วัดราชบูรณะต่อ ได้นำโบราณวัตถุที่มีค่าไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ซึ่งสร้างโดยเงินบริจาคจากการนำพระพิมพ์ขนาดเล็กที่ได้จากกรุนี้มาจำหน่าย เป็นของชำร่วย

วัดพระศรีสรรเพชญ

ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารพระมงคลบพิตร เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงเทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แห่งกรุงเทพมหานครหรือวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)ทรงสร้างพระราชมณเฑียรเป็นที่ประทับบริเวณนี้ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายพระราชวังขึ้นไปทางเหนือและอุทิศที่ดิน เดิมให้สร้างวัดขึ้นภายในเขตพระราชวังและโปรดเกล้าฯให้สร้างเขตพุทธาวาสขึ้น เพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพิธีสำคัญต่างๆ จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา

วัดใหญ่ชัยมงคล

เดิมชื่อวัดป่าแก้วหรือวัดเจ้าพระยาไท ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก จากกรุงเทพฯเข้าตัวเมืองอยุธยาแล้วจะเห็นเจดีย์วัดสามปลื้ม(เจดีย์กลางถนน) ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นวัดใหญ่ชัยมงคลอยู่ทางซ้ายมือ วัดนี้ตามข้อมูลประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1900 สำหรับเป็นสำนักของพระสงฆ์ซึ่งไปบวชเรียนมาแต่สำนักพระวันรัตน์มหาเถรใน ประเทศลังกา คณะสงฆ์ที่ไปศึกษาพระธรรมวินัยเรียกนามนิกายในภาษาไทยว่า “คณะป่าแก้ว” วัดนี้จึงได้ชื่อว่า วัดคณะป่าแก้ว ต่อมาเรียกให้สั้นลงว่า “วัดป่าแก้ว” ต่อมาคนเลื่อมใสบวชเรียนพระสงฆ์นิกายนี้ พระราชาธิบดีจึงตั้งอธิบดีสงฆ์นิกายนี้เป็นสมเด็จพระวันรัตน์มีตำแหน่งเป็น สังฆราชฝ่ายขวาคู่กับพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอธิบดีสงฆ์ฝ่ายคันถธุระมีตำแหน่ง เป็นสังฆราชฝ่ายซ้าย หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเจ้าพระยาไท” สันนิษฐานว่ามาจากที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้น ณ บริเวณที่ซึ่งได้ถวายพระเพลิงพระศพของเจ้าแก้วเจ้าไทหรืออาจมาจากการที่วัด นี้เป็นที่ประทับของพระสังฆราชฝ่ายขวา ซึ่งในสมัยโบราณเรียกพระสงฆ์ว่า “เจ้าไท” ฉะนั้นเจ้าพระยาไทจึงหมายถึงตำแหน่งพระสังฆราช

ในปีพ.ศ. 2135 เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำศึกยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชแห่งพม่าที่ ตำบลหนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี ทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นที่วัดนี้เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ การสร้างพระเจดีย์อาจสร้างเสริมพระเจดีย์เดิมที่มีอยู่หรืออาจสร้างใหม่ทั้ง องค์ก็ได้ ไม่มีหลักฐานแน่นอน ขนานนามว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล”แต่ราษฎรเรียกว่า “พระเจดีย์ใหญ่” ฉะนั้นนานวันเข้าวัดนี้จึงเรียกชื่อเป็น “วัดใหญ่ชัยมงคล” วัดนี้ร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้าย และเพิ่งจะตั้งขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้ยังมี วิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวร เพื่อเป็นที่ถวายสักการะบูชาและปฏิบัติพระกรรมฐาน ปัจจุบันมีการสร้างพระตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีผู้นิยมไปนมัสการอย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมาก

วัดมหาธาตุ

ตั้งอยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ พงศาวดารบางฉบับกล่าวว่าวัดนี้สร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค์ประธานของวัดเมื่อ พ.ศ.1927 พระปรางค์วัดมหาธาตุถือเป็นปรางค์ที่สร้างในระยะแรกของสมัยอยุธยาซึ่งได้รับ อิทธิพลจากปรางค์ขอม ชั้นล่างก่อสร้างด้วยศิลาแลงแต่ที่เสริมใหม่ตอนบนเป็นอิฐถือปูน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์ใหม่โดยเสริมให้สูงกว่า เดิม แต่ขณะนี้ยอดพังลงมาเหลือเพียงชั้นมุขเท่านั้น จึงเป็นที่น่าเสียดายเพราะมีหลักฐานว่าเป็นปรางค์ที่มีขนาดใหญ่มากและก่อ สร้างอย่างวิจิตรสวยงามมาก เมื่อพ.ศ. 2499 กรมศิลปากรได้ขุดแต่งพระปรางค์แห่งนี้ พบของโบราณหลายชิ้น ที่สำคัญคือ ผอบศิลา ภายในมีสถูปซ้อนกัน 7 ชั้น แบ่งออกเป็น ชิน เงิน นาก ไม้ดำ ไม้จันทร์แดง แก้วโกเมน และทองคำ ชั้นในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอันมีค่า ปัจจุบันพระบรมสารีริกธาตุนำไปประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา สิ่งที่น่าสนใจในวัดอีกอย่างคือ เศียรพระพุทธรูปหินทราย ซึ่งมีรากไม้ปกคลุมเข้าใจว่าเศียรพระพุทธรูปนี้จะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้ ในสมัยเสียกรุงจนรากไม้ขึ้นปกคลุมมีความงดงามแปลกตาไปอีกแบบ

วัดภูเขาทอง

ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากพระราชวังหลวงไปประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถใช้เส้นทางเดียวกับทางไปจังหวัดอ่างทอง ทางหลวงหมายเลข 309 กิโลเมตรที่ 26 จะมีป้ายบอกทางแยกซ้ายไปวัดนี้ วัดภูเขาทองนี้หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่า พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเป็นผู้สร้างเมื่อพ.ศ. 2112 คราวยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในเวลาที่ประทับอยู่พระนครศรีอยุธยาได้สร้างพระเจดีย์ภูเขาทองใหญ่แบบมอญ ขึ้นไว้เป็นที่ระลึกเมื่อคราวรบชนะไทย โดยรูปแบบของฐานเจดีย์มีลักษณะคล้ายกับแบบมอญพม่า สันนิษฐานว่าสร้างเจดีย์องค์นี้ขึ้นเพื่อชัยชนะแต่ทำได้เพียงรากฐาน แล้วยกทัพกลับ ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาเมื่อพ.ศ. 2127 จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างเจดีย์แบบไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและพม่าที่สร้างเพียง รากฐานไว้ ณ สมรภูมิทุ่งมะขามหย่อง ฝีมือช่างมอญเดิมจึงปรากฏเหลือเพียงฐานทักษิณส่วนล่างเท่านั้น เจดีย์ภูเขาทองจึงมีลักษณะสถาปัตยกรรมสองแบบผสมกัน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้า บริเวณด้านหน้าวัดภูเขาทอง

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเดินทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โดยรถไฟ:
การเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสามารถใช้บริการรถไฟโดยสารที่มีปลายทาง สู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีบริการทุกวัน ขบวนรถไฟจะผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเขตอำเภอบางปะอิน อำเภอพระนครศรีอยุธยาและอำเภอภาชี แล้วรถไฟจะแยกไปภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สถานีชุมทางบ้านภาชี นอกจากนี้การรถไฟฯ ยังจัดขบวนรถจักรไอน้ำเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาในโอกาสพิเศษ ปีละ 3 ขบวน คือ วันที่ 26 มีนาคม (วันสถาปนาการรถไฟฯและเป็นวันที่ระลึกถึงการเปิดทางรถไฟสายแรกวิ่งระหว่าง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2433) วันที่ 23 ตุลาคม (วันปิยมหาราช เพื่อรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงให้กำเนิดกิจการรถไฟไทย) และวันที่ 5 ธันวาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) ติดต่อสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยโทร. 0 220 4334, 1690 สถานีรถไฟอยุธยา โทร. 0 3524 1521 หรือ www.railway.co.th

โดยรถยนต์:
จากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้หลายเส้นทางดังนี้

1. ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านประตูน้ำพระอินทร์ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 309 เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

2. ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (ถนนแจ้งวัฒนะ) หรือทางหลวงหมายเลข 302 (ถนนงามวงศ์วาน) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 306 (ถนนติวานนท์) แล้วข้ามสะพานนนทบุรีหรือสะพานนวลฉวี ไปยังจังหวัดปทุมธานีต่อด้วยเส้นทาง ปทุมธานี-สามโคก-เสนา (ทางหลวงหมายเลข 3111) เลี้ยวแยกขวาที่อำเภอเสนา เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3263 เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

3. ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-นนทบุรี-ปทุมธานี ทางหลวงหมายเลข 306 ถึงทางแยกสะพานปทุมธานี เลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 347 แล้วไปแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 3309 ผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อำเภอบางปะอิน เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

4. ใช้เส้นทางด่วนหมายเลข 9 (ทางด่วนศรีรัช) ผ่านนนทบุรี-ปทุมธานี ลงทางด่วนเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 3469 ตามป้ายไปบางปะหัน ถึงสี่แยกไฟแดง (แยกวรเชษฐ) เลี้ยวขวาเข้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โดยรถประจำทาง:
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการรถโดยสารปรับอากาศชั้น 1 และชั้น 2 ไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวัน ตั้งแต่เวลา 04.30-19.30 น. รถออกทุกๆ 20 นาที วันละหลายเที่ยว ออกจากสถานีขนส่ง หมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2936 2852-66 สถานีขนส่งอยุธยา โทร.0 3533 5304 หรือ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 1490 หรือ www.transport.co.th

โดยทางอื่น:
เรือ การเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยทางน้ำเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศ เพราะนอกจากจะได้ชมทัศนียภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนริมสองฝั่งแม่ น้ำเจ้าพระยาแล้วยังเป็นการย้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์สมัยที่กรุง ศรีอยุธยาเป็นราชธานีและมีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติทางเรือบนสายน้ำ เจ้าพระยาแห่งนี้

บริการเรือนำเที่ยวไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีดังนี้

เรือมโนราห์ ครุ้ยส์ ออกจากท่าโรงแรมแมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน แวะเที่ยวชมตั้งแต่กรุงเทพฯ วัดอรุณฯ พิพิธภัณฑ์เรือ ผ่านเกาะเกร็ด นนทบุรี วัดสามัคคี ปทุมธานี แวะวัดต่างๆ ในพระนครศรีอยุธยา บางปะอิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0 2477 0770 หรือ www.manohracruises.com

เรือมิตรเจ้าพระยา บริการเรือนำเที่ยวไปเช้า-เย็นกลับ พร้อมอาหาร สู่พระราชวังบางปะอินและนำเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น ภายในอุทยานประวัติศาสตร์อันได้แก่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดมงคลบพิตร วัดมหาธาตุและนำนักท่องเที่ยวเดินทางกลับโดยไปขึ้นเรือที่ท่าเรือวัดช่องลม จังหวัดนนทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาประมาณ 60 กิโลเมตร รถออกจากศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา เวลา 07.30 น. และเดินทางกลับโดยทางเรือ จากท่าเรือวัดช่องลมจังหวัดนนทบุรี เรือออกเวลา 13.00 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 16.00 น. อัตราค่าโดยสารปกติราคาคนละ 1,700 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0 2623 6169, 0 2225 6179, 0 2623 5430

เรือเมฆขลา มีบริการนำเที่ยวสู่พระราชวังบางปะอินและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แบบ 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเรือจะออกจากท่าวัดยานวานา เวลา 14.30 น. และเดินทางกลับโดยรถยนต์ (หรือจะเลือกเดินทางไปโดยรถยนต์ออกเวลา 07.00 น. และเดินทางกลับโดยทางเรือจากท่าวัดนิเวศธรรมประวัติ) อัตราค่าโดยสาร 8,050-10,450 บาท (เฉพาะค่าเรือ ไม่รวมค่ารถไปหรือกลับจากอยุธยา) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2655 6245-6

เรือริเวอร์ซันครุ้ยส์ บริการเรือนำเที่ยวไปเช้า-เย็นกลับ พร้อมอาหาร สู่พระราชวังบางปะอินและนำเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น ภายในอุทยานประวัติศาสตร์อันได้แก่ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดหน้าพระเมรุ วัดไชยวัฒนาราม และนำนักท่องเที่ยวเดินทางกลับโดยไปขึ้นเรือที่ท่าเรือวัดช่องลมจังหวัด นนทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาประมาณ 60 กิโลเมตร รถออกจากศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา เวลา 08.00 น. และเดินทางกลับโดยทางเรือจากท่าเรือวัดช่องลมจังหวัดนนทบุรี เรือออกเวลา 13.00 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 16.30 น. อัตราค่าโดยสารปกติราคาคนละ 2,100 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะร่วมเดินทางโดยสารเรือเฉพาะกลับกรุงเทพฯ ราคาคนละ 1,500 บาท สอบถามรายละเอียดของเรือริเวอร์ซันครุ้ยส์ เพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2266 9125-6, 0 2266 9316

เรือแกรนด์เพิร์ลครุ้ยส์ (เพิร์ลออฟสยาม) บริการเรือนำเที่ยวไปเช้า-เย็นกลับ พร้อมอาหาร สู่พระราชวังบางปะอินและนำเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น ภายในอุทยานประวัติศาสตร์อันได้แก่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดมงคลบพิตร วัดมหาธาตุและนำนักท่องเที่ยวเดินทางกลับโดยไปขึ้นเรือที่ท่าเรือวัดช่องลม จังหวัดนนทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาประมาณ 60 กิโลเมตร รถออกจากศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา เวลา 07.30 น. และเดินทางกลับโดยทางเรือจากท่าเรือวัดช่องลมจังหวัดนนทบุรี เรือออกเวลา 13.00 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 16.00 น. อัตราค่าโดยสารปกติราคาคนละ 1,900 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะร่วมเดินทางโดยสารเรือเฉพาะกลับกรุงเทพฯ ราคาคนละ 1,200 บาททั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอบถามรายละเอียดของ เพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2861 0255 ต่อ 201-204 หรือ www.grandpearlcruise.com

หมายเหตุ หากนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางจากพระนครศรีอยุธยาไปกรุงเทพฯทางเรือร่วมกับ เรือริเวอร์ซันครุ้ยส์และเรือแกรนด์เพิร์ลครุ้ยส์ / เพิร์ลออฟสยาม กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้า และเดินทางถึงท่าเรือวัดช่องลม จังหวัดนนทบุรี ก่อนเวลา 12.30 น. เรือออกเดินทางเวลา 13.00 น.

เรือฮอไรซันครุ้ยส์ มีบริการนำเที่ยวโดยรถยนต์และเดินทางกลับโดยเรือนำเที่ยวเฉพาะวันจันทร์ /วันพุธ / วันศุกร์และวันเสาร์ สู่พระราชวังบางปะอิน นำเที่ยวพระนครศรีอยุธยา เช่น วัดใหญ่ชัยมงคล วัดมหาธาตุ วัดพระศรีสรรเพชญ์ พร้อมอาหารกลางวันบนเรือ รถออกจากลานจอดรถใกล้โรงแรมแชงกรีล่า เวลา 08.00 น. เดินทางกลับโดยทางเรือ อัตราค่าโดยสารคนละ 1,950 บาท/คน และเดินทางกลับโดยทางเรือจากท่าเรือวัดช่องลม จังหวัดนนทบุรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2236 7777 ต่อ 6205-6, 0 2236 9952

เวิลด์ทราเวิล เซอร์วิส จัดรายการนำเที่ยวสู่พระราชวังบางปะอินและจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นประจำ ทุกวัน พร้อมอาหารบุฟเฟต์ รถออกจากท่าริเวอร์ซิตี้เวลาประมาณ 07.30 น. และ เดินทางไปขึ้นเรือที่วัดช่องลม จังหวัดนนทบุรี เวลา 13.30 น. กลับถึงเวลา 16.30 น. เดินทางกลับทาง เรือแกรนด์เพิร์ลครุ้ยส์ (เพิร์ลออฟสยาม) อัตราค่าบริการคนละ 1,800 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2234 4875

การเดินทางภายใน พระนครศรีอยุธยา

ใน ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยามีรถตุ๊กตุ๊ก รถสามล้อถีบ และรถสองแถวให้บริการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้ตามอัธยาศัย โดยคิวรถส่วนใหญ่จะอยู่ที่สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง หน้าวิหารพระมงคลบพิตร หน้าวัดพระราม และตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด

ค่าตุ๊ กตุ๊กอยู่ที่ 20-40 บาท ต่อคน (ขึ้นอยู่กับระยะทาง) ค่าตุ๊กตุ๊กจากสถานีรถไฟเข้าตัวเมืองประมาณ 30 บาท ส่วนค่าเช่าเหมาตุ๊กตุ๊กต่อชั่วโมงประมาณ 200 บาท

ระยะทางจากอำเภอพระนครศรีอยุธยาไปยังอำเภอต่างๆ คือ

อำเภอบางบาล 10 กิโลเมตร

อำเภอบางปะหัน 13 กิโลเมตร

อำเภออุทัย 15 กิโลเมตร

อำเภอเสนา 20 กิโลเมตร

อำเภอนครหลวง 20 กิโลเมตร

อำเภอวังน้อย 20 กิโลเมตร

อำเภอมหาราช 25 กิโลเมตร

อำเภอบางปะอิน 28 กิโลเมตร

อำเภอผักไห่ 29 กิโลเมตร

อำเภอบางซ้าย 34 กิโลเมตร
อำเภอภาชี 35 กิโลเมตร

อำเภอบางไทร 45 กิโลเมตร

อำเภอบ้านแพรก 53 กิโลเมตร

อำเภอลาดบัวหลวง 65 กิโลเมตร

อำเภอท่าเรือ 75 กิโลเมตร

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

"ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา"

417 ปีแห่งการเป็นราชธานีเก่าแก่ของสยามประเทศ ประกอบด้วย 5 ราชวงศ์คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น 33 พระองค์ โดยมีปฐมกษัตริย์คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พระนครศรีอยุธยาจึงนับเป็นราชธานีที่มีอายุยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ชาติไทย ตลอดระยะเวลา 417 ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรไทย มิได้เป็นเพียงช่วงแห่งความเจริญสูงสุดของชนชาติไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์อารยธรรมของหมู่มวลมนุษยชาติซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ นานาอารยประเทศอีกด้วย แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะถูกทำลายเสียหายจากสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านหรือจาก การบุกรุกขุดค้นของพวกเรากันเอง แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนี้ยังมีร่องรอยหลักฐานซึ่งแสดงอัจฉริยภาพ และความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษแห่งราชอาณาจักรผู้อุทิศตนสร้างสรรค์ ความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม และความมั่งคั่งไว้ให้แก่ผืนแผ่นดินไทย หรือแม้แต่ชาวโลกทั้งมวล จึงเป็นที่น่ายินดีว่าองค์การ ยูเนสโก้ โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติรับนครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 ณ กรุงคาร์เธจประเทศตูนีเซียพร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย/อุทยาน ประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย/อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรโดยจะมีผลให้ได้รับ ความคุ้มครองตามอนุสัญญาที่ประเทศต่างๆได้ทำร่วมกัน จึงสมควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ไปศึกษาเยี่ยมชมเมืองหลวงเก่าของเราแห่งนี้

สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาส่วนใหญ่เป็นโบราณสถาน ได้แก่ วัด และพระราชวังต่างๆ พระราชวังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีอยู่ 3 แห่ง คือ พระราชวังหลวง วังจันทรเกษมหรือวังหน้า และวังหลัง นอกจากนี้ยังมีวังและตำหนักนอกอำเภอพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นที่สำหรับเสด็จ ประพาส ได้แก่ พระราชวังบางปะอิน ในเขตอำเภอบางปะอิน และตำหนักนครหลวง ในเขตอำเภอนครหลวง ภูมิประเทศของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ แม่น้ำป่าสักไหลผ่านทางทิศตะวันออก และแม่น้ำลพบุรี(ปัจจุบันเป็นคลองเมือง)ไหลผ่านทางด้านทิศเหนือแม่น้ำสามสาย นี้ไหลมาบรรจบกันโอบล้อมรอบพื้นที่ของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเกาะ เราจะเห็นบ้านเรือนปลูกเรียงรายหนาแน่นตามสองข้างฝั่งแม่น้ำแสดงถึงวิถี ชีวิตของผู้คนที่ผูกพันอยู่กับสายน้ำมายาวนาน

จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 76 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 2,556 ตารางกิโลเมตร แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 16 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอนครหลวง อำเภอภาชี อำเภอบ้านแพรก อำเภอบางซ้าย อำเภอบางไทร อำเภอลาดบัวหลวง อำเภอบางบาล อำเภอมหาราช อำเภอบางปะหัน อำเภอเสนา อำเภออุทัย อำเภอบางปะอิน อำเภอผักไห่ อำเภอท่าเรือ และอำเภอวังน้อย

อาณาเขต

ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดลพบุรี อ่างทอง และสระบุรี
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดสระบุรี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดสุพรรณบุรี